วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วิธีแก้ขอบตาดํา


15 วิธีแก้ขอบตาดำคล้ำ ! ขอบตาดําทําไงดี ??


        1.หาสาเหตุและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง การรักษาผิวใต้ตาหมองคล้ำทำให้กลับมาสดใสดั่งเดิม ก็ควรเริ่มจากหาสาเหตุและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เนื่องจากรอยคล้ำใต้ตาเกิดได้จากหลายสาเหตุ และแต่ละสาเหตุจะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ผู้ที่มีปัญหารอยคล้ำใต้ตาจึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุรอยคล้ำใต้ตาก่อน เพื่อจะได้เลือกวิธีการรักษาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เช่น หากขอบตาดำเป็นเพราะการขยี้ตาบ่อย ๆ ก็ให้เลิกขยี้ตาซะ หรือเป็นเพราะแพ้เครื่องสำอาง ก็ให้ทดสอบการแพ้เครื่องสำอางก่อนการใช้ หรือถ้าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย อดหลับอดนอน ก็พักผ่อนนอนหลับให้มาก ๆ ฯลฯ
        2. ดูแลตัวเอง โดยเริ่มจากการลดบริโภคอาหารไม่มีประโยชน์ แล้วหันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์แทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ดื่มน้ำมะเขือเทศที่ผสมกับน้ำมะนาวและเกลือ (อาจใส่ใบมิ้นต์ลงไปด้วยเล็กน้อย) เน้นเพิ่มอาหารที่มีวิตามินซีในทุกมื้ออาหาร หรือนำแครอทไปวางไว้ในน้ำร้อนสักพัก แล้วดื่มน้ำนั้นก่อนอาหาร 3 ครั้งต่อวันก็ได้ เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหารอบตาดำคล้ำได้, รวมไปถึงการดื่มน้ำให้มาก ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น, หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ, เลิกสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่มีอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น ดูแก่ก่อนวัย และทำให้เกิดคล้ำใต้ตา, หลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะผิวใต้ตาจะอ่อนบางกว่าบริเวณอื่น ๆ หากถูกแสงแดดมาก ๆ ผิวส่วนนั้นก็จะบางลงจนมองเห็นเส้นเลือดดำใต้ผิวได้, หาวิธีกำจัดความเครียดพร้อมทั้งนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะช่วงเวลาเราหลับกลางคืนจะเป็นช่วงเวลาแห่งการซ่อมแซมร่างกาย ดวงตาเองก็จะได้รับการซ่อมแซมเช่นกัน โดยคุณควรนอนหลับ 6-8 ชั่วโมงทุกคืนจะดีที่สุด อ้อ..เพิ่มเติมอีกนิด การหนุนหมอนมีคำแนะนำว่าให้คุณหนุนหมอนในขนาดพอเหมาะที่สามารถยกให้ศีรษะสูงขึ้นเหนือระดับของหัวใจเล็กน้อย และให้นอนในท่าหงาย เพื่อช่วยป้องกันของเหลวที่ไหลมารวมกันอยู่บริเวณศีรษะ
         3.รอยคล้ำจางหายด้วยนิ้วมือ เป็นวิธีที่ง่ายสุดในการช่วยขจัดปัญหารอยคล้ำรอบดวงตาที่มีสาเหตุมาจากการที่เลือดไหลเวียนไม่ดี วิธีนี้ให้คุณใช้นิ้วชี้กดเบา ๆ ที่ใต้ตาด้านล่างช้า ๆ จากซ้ายไปขวา โดยให้ทำซ้ำไปมาประมาณ 10 ครั้ง และควรทำหลังจากตื่นนอนตอนเช้า ซึ่งวิธีนี้จะช่วยไล่ความคล้ำที่เกาะอยู่รอบดวงตาให้จางหายไปได้ ส่วนอีกวิธีให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น นำมาประคบบนเปลือกตาประมาณ 5 นาที แล้วให้ล้างด้วยน้ำเย็นจัด จากนั้นให้หลับตาลงพร้อมกับใช้นิ้วกลางกดที่หางคิ้วทั้งสองข้าง แล้วใช้นิ้วโป้งกดเบ้าตาช่วงหัวตาค้างไว้ประมาณ 5 วินาที ค่อย ๆ ปล่อยแล้วกดลงไปใหม่ทำซ้ำกันประมาณ 5-10 ครั้ง ต่อมาให้ใช้นิ้วกลางกดที่สันจมูก ช่วงหัวตาค้างไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วค่อย ๆ ปล่อยแล้วกดลงไปใหม่ทำซ้ำกันประมาณ 5-10 ครั้ง
        4. สูตรบำรุงรอบตาให้สวยได้ในข้ามคืน วิธีแรกให้ใช้วุ้นว่านหางจระเข้สด ๆ นำมาทาใต้ตา แล้วนวดเป็นวงกลม ทิ้งไว้แบบนั้นแล้วเข้านอน จะช่วยแก้ปัญหารอบตาคล้ำได้ หรืออีกวิธีให้ใช้น้ำสะระแหน่นำมาทารอบดวงตาก่อนเข้านอน ซึ่งจะช่วยทำให้รอยดวงตาที่ดำคล้ำค่อย ๆ จางหายไป ส่วนวิธีสุดท้ายให้ใช้ผงจันทน์เทศนำมาผสมกับนมสด แล้วนำมาทาใต้ตาพอกทิ้งไว้ข้ามคืน พอตื่นเช้ามาก็จะพบกับรอบดวงตาอันสดใสและไม่ดำคล้ำ

         5.ทรีทเม้นท์เบา ๆ แต่ได้ผล มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน วิธีแรกให้คุณนำสำลีกลม ๆ จุ่มลงในน้ำเย็นหรือน้ำกุหลาบ วางทิ้งไว้บนเปลือกตาประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก, ส่วนวิธีที่สองให้คุณใช้เกลือ 1 ช้อนชา นำมาผสมกับน้ำร้อนครึ่งถ้วย แล้วใช้ผ้านุ่ม ๆ หรือสำลีชุบน้ำเกลือและบีบน้ำออกเล็กน้อย แล้วนพมาปิดเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที, วิธีที่สามให้นำช้อนที่แช่เย็นจัดมาวางไว้บนเปลือกตาสักพัก เพื่อช่วยคลายอาการรอบดวงตาที่ดำคล้ำ, วิธีที่สามให้ใช้ช้อนเหล็กปาดวาสลีนออกมาแล้วนำไปแช่แข็งให้เย็นจัด แล้วจึงนำวาสลีนนั้นมาทารอบดวงตา ส่วนอีกวิธีให้นำผักชีฝรั่งไปวางไว้บนถาดทำน้ำแข็งที่มากับตู้เย็น พร้อมกับเติมน้ำลงไปเพื่อทำเป็นน้ำแข็งก้อน แล้วนำก้อนน้ำแข็งที่มีผักชีฝรั่งอยู่ในน้ำแข็งนั้นมาลูบ ๆ วน ๆ รอบดวงตาที่ดำคล้ำ สารคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในผักชีฝรั่งจะช่วยขจัดรอบคล้ำใต้ตาได้ รวมทั้งน้ำแข็งยังช่วยลดอาการตาบวมได้อีกด้วย



          6.สูตรมะขามเปียก+นม+น้ำผึ้ง สูตรแรกให้คุณใช้มะขามเปียก 1 กำมือ เอารกออกแล้วล้างน้ำให้สะอาด นำมาผสมกับนมสด 2 ช้อนโต๊ะ ขยำให้เข้ากัน ถ้าข้นมากให้เติมน้ำลงไปหน่อย จากนั้นให้นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง หลังจากนั้นเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน แล้วนำครีมมะขามที่ได้มาทาให้ทั่วใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณใต้ตาและหางตาให้ทานานหน่อย ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที จึงล้างออก ซึ่งกรด AHA ในมะขามและกรดแลคติกในนมจะช่วยทำให้ผิวบริเวณใต้ตาดูขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
           7. สูตรด้วยมาส์กตา 20 นาที มีอยู่มากมายหลายสูตร เช่น การนำแตงกวาและน้ำที่สกัดจากมันฝรั่งมาผสมกัน จากนั้นใช้สำลีชุบส่วนผสมมาวางทิ้งไว้บนเปลือกตา แล้วออกด้วยน้ำเย็น, ฝานมันฝรั่งหรือแตงกวาให้เป็นแผ่นนำมาวางไว้บนเปลือกตา, ฝานลูกแพร์บาง ๆ แล้วนำมาวางใต้ดวงตา (ให้ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง) สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีในลูกแพร์จะช่วยฟื้นฟูผิวรอบดวงตาได้อย่างน่าอัศจรรย์, นำเปลือกกล้วยบดมาพอกบริเวณใต้ตาที่ดำคล้ำ, นำมะเขือเทศมาฝานเป็นแผ่นแล้วแบ่งครึ่ง ผสมกับน้ำมะนาว ใช้พอกใต้ตาที่มีปัญหาดำคล้ำ, ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาผสมกับน้ำแร่อุ่น ๆ ในปริมาณเท่ากัน แล้วใช้สำลีชุบให้พอชุ่ม แล้วนำมาวางรอบดวงตา (ทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง), นำผงขมิ้นและน้ำสับปะรดมาผสมกันแล้วนำมาพอกใต้ตา, ใช้สำลีชุบน้ำแตงกวาผสมกับน้ำมะนาว แล้วนำมาวางไว้บนเปลือกตา, นำสำลีก้อนกลม ๆ ไปจุ่มกับนมสดแช่เย็น แล้วนำมาวางรอบดวงตาเพื่อช่วยทำให้รอยคล้ำจางไป โดยสูตรเหล่านี้ให้วางทิ้งไว้บนเปลือกตาประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออก
            8.สูตรถุงชาแก้ปัญหาตาดำคล้ำ มีหลายสูตรย่อยด้วยกัน วิธีแรกให้คุณใช้ถุงชาฝรั่งที่ชงแล้วและยังอุ่น ๆ หมาด ๆ อยู่เล็กน้อย นำมาวางทับไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วจึงค่อยนำถุงชาออก วิธีนี้จะเหมาะกับผู้ที่มีผิวรอบดวงตาแพ้ง่ายหรือบวมง่าย หรืออีกวิธีให้ใช้ถุงชาที่แช่เย็นมาวางไว้บนเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที (ลอกเลือกดูนะว่าแบบอุ่นหรือแบบเย็นจะเหมาะกับคุณมากกว่า) ส่วนอีกวิธีให้ใช้ถุงชาคาโมมายล์นำมาจุ่มลงไปในน้ำร้อน แล้วล้างด้วยน้ำเย็น จากนั้นก็ให้นำมาวางไว้บนเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วรอยหมองคล้ำต่าง ๆ ใต้ตาจะค่อย ๆ หายไปเอง


           9.สูตรน้ำมันขจัดปัญหารอบดวงตาคล้ำ คุณสามารถนวดไล่ความคล้ำที่มาเกาะรอบดวงตาได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้น้ำมันละหุ่ง น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันงา น้ำมันอโวคาโด น้ำมันจากแคปซูลวิตามินอี น้ำมันจากแคปซูลวิตามินเค น้ำผึ้ง หรือกลีเซอรีน (ใครที่ตื่นมาแล้วมักตาบวมฉึ่ง ก็แนะนำให้นวดด้วยน้ำมันอัลมอนด์หรือน้ำมันละหุ่ง) นำมานวดรอบ ๆ ดวงตาทิ้งไว้ข้ามคืน ซึ่งน้ำมันเหล่านี้นอกจากจะช่วยให้รอบตาที่ดำคล้ำหายไปแล้ว ยังถือเป็นการทำสปาแบบผ่อนคลายไปได้ในตัวอีกด้วย
            10.สูตรแผ่นเจล ให้คุณใช้แผ่นเจลที่มีขายสำเร็จรูปเป็นรูปครอบดวงตา โดยเอาไปแช่แข็งให้เย็นแล้วนำมาปิดรอบดวงตาเว้นตรงบริเวณดวงตาเอาไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที สูตรนี้จะช่วยคลายเครียดกล้ามเนื้อดวงตา ถนอมดวงตาและถนอมหลอดเลือดรอบตา จึงช่วยลดอาการคล้ำจากหลอดเลือดขยายไว้ได้
            11.ใช้ครีมทารอบดวงตาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี ถ้าคุณไม่ใจร้อนและอยากรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไป ๆ ก็ให้ใช้ยาทาใต้ตาหรือครีมบำรุงรอบดวงตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น มีส่วนผสมของวิตามินซี, เรตินอล, กรดโคจิก, ลิโคไลซ์, อาร์บูติน, ไฮโดรควิโนดน หรือครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ ฯลฯ ซึ่งจะช่วยรอยดำคล้ำใต้ตาจางลงได้ภายใน 3-4 สัปดาห์


             12.ฉีดฟิลเลอร์ ถ้ารอยคล้ำใต้ตานั้นเกิดมาจากเงา เนื่องจากมีร่องใต้ตาที่ลึกจนเกินไป แพทย์อาจใช้วิธีการฉีดสารเติมเต็มเพื่อเพิ่มปริมาตร ซึ่งสารที่ใช้ก็มีทั้งไฮยาลูรอนิกและคอลลาเจน วิธีนี้จะช่วยลบร่องใต้ตาที่ดูลึกได้ แต่อย่าลืมว่าต้องเลือกใช้


              13.การรักษาด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น การรักษาด้วย IPL หรือแสงเข้มข้น เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ผลดี ไม่มีแผล แต่ต้องทำหลาย ๆ ครั้ง, การใช้เลเซอร์เพื่อเข้าไปทำลายเม็ดสีให้แตกตัวเป็นเม็ดเล็ก ๆ (ภายหลังจะถูกร่างกายกำจัดไปในที่สุด) มีทั้งแบบมีแผลและไม่มีแผล อย่างเช่น Q-switched Nd: YAG และต้องทำหลายครั้งเช่นกัน ให้ผลลัพธ์ที่ดีไม่แพ้ไอพีแอล, การใช้แสงเลเซอร์ Fractional Laser (แบบกึ่งมีแผล) แบบนี้แผลจะหายเร็ว สามารถช่วยลดทั้งรอยดำและริ้วรอยตื้น ๆ ได้ และต้องทำหลายครั้งเช่นกัน, การใช้แสงเลเซอร์ในการปรับสภาพผิวแบบเปลี่ยนผิวใหม่ที่เรียกว่า Laser Resurfacing ตัวนี้นอกจากรอยคล้ำใต้ตาจะหายแล้ว ริ้วรอยต่าง ๆ ยังดูดีขึ้นอีกด้วย แต่การใช้วิธีนี้คุณจะต้องเข้าสู่ช่วงเก็บตัวก่อนสวย เพราะจะต้องรักษาแผลให้หายอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ และต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 3-6 เดือน ซึ่งวิธีเหล่านี้เป็นวิธีที่ได้ผลดีในการรักษารอยคล้ำใต้ตา เพียงแต่เสียค่าใช้จ่ายสูง และบางวิธีอาจต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน ส่วนจะเลือกใช้เครื่องมือชนิดไหนนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับแพทย์เป็นผู้วินิจฉัย
               14.ใช้คอนซีลเลอร์ช่วยปดปิกรอยคล้ำ โดยให้เลือกใช้คอนซีลเลอร์เนื้อบางเกลี่ยง่ายและมีโทนสีใกล้เคียงกับสีผิวของเรามากที่สุด อย่างสีเหลืองหรือสีเหลืองปนส้มอ่อน ๆ เพื่อที่จะไดแก้สีเทาปนน้ำเงินปนม่วงของเงาใต้ตาได้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้เลือกใช้กันหลายยี่ห้อเลยล่ะ


               15.รักษาด้วยแพทย์แผนจีน ในศาสตร์เกี่ยวกับตา เปลือกตาจะมีม้ามควบคุมอยู่ ถ้าเปลือกตาดำคล้ำ อาจสะท้อนถึงการทำงานของม้ามที่ผิดปกติก็เป็นได้ ซึ่งการรักษาด้วยแผนจีนจะมีอยู่ 2 อย่าง คือ การฝังเข็มและกินยาจีน เพื่อเพิ่มเลือด แก้อาการเลือดไหลเวียนไม่ดี มีของเสียคั่งอยู่ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับอวัยวะต่าง ๆ และปรับร่างกายให้สมดุล

                ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีสูตรแก้ปัญหารอบดวงตาดำคล้ำเยอะแยะขนาดนี้ เรียกได้ว่าหากทำตามสูตรหรือวิธีรักษาเหล่านี้แล้ว ปัญหารอยคล้ำใต้ตาก็จะไม่มากวนใจคุณอีกอย่างแน่นอน !!

วิธีล้างเครื่องสำอาง



10 ข้อควรรู้ คุณ ทำความสะอาดเครื่องสำอาง บนใบหน้า ได้ถูกวิธีหรือยัง????



1. จำเป็นมากกกกกกที่ต้องเช็ด ล้างหน้าให้สะอาดก่อนนอน                                                                                                                
           ใช่ล่ะว่า เราเหนื่อยมากกกกกก จนพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ หลังจาก เหนื่อยล้ากับงานที่เราตรากตรำมาทั้งวัน ปาร์ตี้จนฟ้าสาง แต่ไม่มีข้อยกเว้นนะจ๊ะ ขณะที่เราหลับ ผิวเราจะผลัดเซลล์ผิวใหม่เองโดยธรรมชาติ แต่ถ้ายังมีเครื่องสำอางอุดตันรูขุมขน แล้วผิวหน้าเราก็ไม่สามารถหายใจได้ ทำให้เกิดการอุดตันอยู่ในรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุของสิว

2. ต้นตอของปัญหาผิวหน้า เกิดจากการที่คุณไม่เห็นความสำคัญของการทำความสะอาดหน้าอย่างแท้จริง
             นอกจากการล้างหน้าไม่สะอาดหมดจดก่อนเข้านอน จะทำให้ผิวหนังอุดตัน จนเกิดสิวแล้ว ยังเป็นสาเหตุของริ้วรอย รอยย่นและ รอยคล้ำรอบดวงตาได้อีกด้วยนะจ๊ะสาวๆ

3. แค่แผ่นเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางเพียงอย่างเดียวไม่พอนะคะ คุณขา
          การใช้แผ่นเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางมันอาจจะใช้สะดวก ง่ายดายและรวดเร็วก็จริง แต่นั่นก็ยังไม่หมดจดเสียทีเดียว แผ่นเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางเพียงแค่เช็ดผลิตภัณฑ์ที่ปกคลุมอยู่บนผิวหน้าเท่านั้น อย่าลืมตามด้วยคลีนเซอร์อีกครั้งนะคะสาวๆ เพื่อให้ผิวเราได้หายใจสะดวกค่ะ

4. เก็บผมให้เรียบร้อยก่อนทุกครั้งที่จะทำความสะอาดใบหน้า
         คุณอาจจะบอกว่า อะไรเนี่ย ไร้สาระ แต่คุณรู้ไหมว่า การเก็บผมให้หมดเพื่อเปิดให้เห็นไรผม เราจะได้ทำความสะอาดใบหน้าได้ทุกซอกทุกมุม อย่าว่าไป สาวไหนมีสิวตามไรผม ตามกราม ตามหน้าผาก ก็เพราะไม่เก็บผมแล้วทำความสะอาดให้หมดเนี่ยล่ะ

5. แน่ใจนะว่าทำความสะอาดหน้าแล้ว 2 รอบ
         เมื่อคุณเช็ดเครื่องสำอางออกแล้ว ให้ล้างหน้าตามอีก 2 รอบค่ะ รอบแรกล้างหน้าเพื่อล้างเครื่องสำอางออก จากนั้น ล้างอีกรอบ เพื่อให้ผิวหน้าเราสะอาดอย่างแท้จริง คุณสามารถนวดหน้าเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ ในขั้นตอนการล้างหน้ารอบที่ 2 นี่ล่ะ สาวๆ

 6. เช็ดลิปสติกออกก่อนเป็นอย่างแรก
           การเช็ดเครื่องสำอางก็มีขั้นตอนตามลำดับนะ อย่างแรกที่ควรทำคือ เช็ดลิปสติกออกให้หมดเสียก่อน เพื่อที่จะได้ไม่ไปเลอะส่วนอื่นของใบหน้า

7. ขั้นตอนที่ 2 เช็ดรอบดวงตา
           จากนั้นมาเช็ดเครื่องสำอางรอบดวงตา ซึ่งก็ต้องไม่ลืมว่ารอบดวงตานั้น บอบบางและละเอียดอ่อน เรากำลังเตือนคุณว่า คุณต้องเช็ดอย่างนุ่มนวลที่สุด และที่สำคัญอย่าถูไปมา อย่าขยี้ ! เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ให้เทน้ำยาเช็ดเครื่องสำอางลงบนสำลีให้ชุ่ม และเพียงแค่กดค้างไว้และตบเบา ๆ ลงบนดวงตาสักครู่เพื่อให้เครื่องสำอางค่อยๆ หลุดออก จากนั้นค่อยเช็ดออกเบาๆ

8. ปิโตรเลียมเจล สิ เวิร์คสุดๆ
              หากคุณบล็อคตาแน่นมากๆ ด้วยเครื่องสำอางกันน้ำ ให้ใช้ ปิโตรเลียมเจล (หรือที่เราเรียกว่า วาสลีน ) สักเล็กน้อยเช็ด แล้วคุณจะประหลาดใจว่า ประสิทธิภาพของปิโตรเลียมเจลมันเกินคาดจริงๆ

9. สุดท้าย เช็ดเบสเครื่องสำอางที่ลงไว้ออกให้หมด
          ขั้นตอนสุดท้ายคือการเช็ดเบส รองพื้น ออกให้หมด ด้วยน้ำยาเช็ดล้างเครื่องสำอาง แล้วตามด้วยการล้างหน้าด้วยน้ำต่อทันที จากนั้นให้ใช้โทนเนอร์ และลงมอยส์เจอร์ไรเซอร์ปิดท้ายเพื่อรักษาความชุ่มชื่น

10. อบไอน้ำให้ผิวหน้า เป็นประจำ

            หลังจากเช็ดเครื่องสำอางออกแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ จุ่มน้ำร้อนให้ชุ่ม จากนั้นทิ้งไว้สัก 2 – 3 วินาทีให้เย็นขึ้นหน่อย แล้วเอาผ้าอุ่นๆ โปะบนใบหน้า ปล่อยให้ไอน้ำร้อน เปิดรูขุมขน เพื่อขับสิ่งสกปรกออกมา

เทคนิกการดูแลผิวก่อนเข้านอน


วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

6วิธีเลือกซื้อเครื่องสำอางอย่างปลอดภัย


👄1. ก่อนอื่นเลยต้องดูว่าเป็นเครื่องสำอางเถื่อนมั๊ย 
ดูจากเครื่องหมายรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ ปัจจุบันนี้ เครื่องสำอางที่ได้มาตรฐานควรได้การรับรองคุณภาพจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดังนั้นเวลาซื้อควรดูเครื่องหมาย อย.บนฉลากซะก่อน ถ้าไม่มีอย่าซื้อเด็ดขาด เพราะเครื่องสำอางที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอาจเป็นเครื่องสำอางเถื่อน และผสมสารต้องห้ามที่มีพิษต่อร่างกาย คงไม่คุ้มกันแน่กับปัญหาหน้าพัง!! ถ้าคิดจะซื้อมาใช้

👄2. ให้ดูวันหมดอายุ ส่วนผสม ชื่อบริษัทผู้ผลิต ที่อยู่ หรือบริษัทผู้นำเข้า
เริ่มดูจากวันหมดอายุและวันผลิตที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ โดยทั่วไปเครื่องสำอางมีอายุหลังการผลิตนานถึง 3-5 ปีเชียวล่ะ แต่นั่นคืออายุของประสิทธิภาพเครื่องสำอางขณะที่คุณยังไม่เปิดใช้ แต่ถ้าหากเปิดใช้แล้วมันก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นและมีอายุการใช้งานน้อยลง (ดูเพิ่มเติมที่: อายุเครื่องสำอางแต่ละชนิดที่เปิดใช้แล้ว) ดังนั้น เราควรเขียนวัน/เดือน/ปี ที่เราเปิดใช้ครั้งแรกเอาไว้ที่เครื่องสำอาง เพื่อจะได้เตือนความจำ และเช็คอายุเครื่องสำอางได้ง่ายขึ้น
จากนั้นก็มาดูส่วนผสม ซึ่งจะบอกได้ว่าในเครื่องสำอางที่เรากำลังจะควักเงินซื้อนั้น มีส่วนผสมที่เราแพ้หรือไม่ เช่น บางคนอาจแพ้เครื่องสำอางที่มีน้ำหอม หรือแอลกอฮอล์ เป็นต้น
ชื่อบริษัทผู้ผลิต ที่อยู่ หรือบริษัทผู้นำเข้า เป็นอีกส่วนที่ควรใส่ใจ เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบของเจ้าของผลิตภัณฑ์ ในกรณีที่มีปัญหาในการใช้ผลิตภัณฑ์ หรือเกิดอันตรายจากเครื่องสำอางนั้น จะได้โทรไปสอบถามหรือร้องเรียนผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าได้

👄3. ต้องให้ความสำคัญกับการอ่านฉลากวิธีใช้
ต้องศึกษาวิธีใช้อย่างละเอียด เพื่อที่จะได้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า และปลอดภัย ว่าควรใช้ในปริมาณเท่าใด กี่ครั้งต่อวัน ใช้ที่จุดไหนของร่างกาย เพื่อให้ใช้ได้ถูกต้อง เช่น ครีมบำรุงผิวหน้าบางชนิดต้องใช้ทาก่อนนอน เพื่อมิให้ถูกแสงแดด เพราะแสงแดดอาจกระตุ้นให้เกิดอาการข้างเคียง ที่ไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้น หากไม่ศึกษาวิธีใช้ให้ถี่ถ้วน ทาครีมนี้ตามความพอใจ หากทาตอนกลางวันแล้วถูกแสงแดด ก็อาจจะกลับกลายเป็นผลเสีย เพราะใช้ไม่ถูกวิธีนั่นเอง
สำหรับคนที่แพ้ง่าย แนะนำว่า ควรพยายามหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ซึ่งเครื่องสำอางหลายยี่ห้อจากต่างประเทศ จะมีระบุชัดอยู่ในบรรจุภัณฑ์ว่า “Alcohol Free” แปลว่าในเครื่องสำอางชิ้นนั้นปราศจากแอลกอฮฮล์ แต่เครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศไทยยังไม่ค่อยมีแจ้งแบบนี้

👄4. ระมัดระวังข้อควรระวังหรือคำเตือนบนฉลาก
เครื่องสำอางบางชนิดจะต้องแสดงคำเตือนที่ฉลากด้วย แสดงว่าต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ดังนั้น ควรศึกษาคำเตือน ให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วน และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
เครื่องสำอางบาง ประเภทมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย หากผู้บริโภคใช้ไม่ถูกวิธี กฎหมายจึงมีข้อกำหนดที่เข้มงวดกว่าเครื่องสำอางทั่วไปคือ จัดเป็นเครื่องสำอางควบคุมพิเศษ และเครื่องสำอางควบคุม โดยจะต้องมีข้อความแสดงประเภท ของเครื่องสำอางที่ฉลากอย่างชัดเจน ผู้บริโภคควรใช้เครื่องสำอางเหล่านี้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ

👄5. ทดสอบการแพ้เครื่องสำอางก่อนตัดสินใจซื้อ 
มีเครื่องสำอางหลายประเภทที่แม้จะเป็นยี่ห้อดียี่ห้อดัง มีตรารับรองมาตรฐาน ก็อาจไม่ถูกกับผิวของคุณได้ เพราะผิวของแต่ละคนก็แพ้เครื่องสำอางแตกต่างกัน ดังนั้น คุณจึงควรทดสอบก่อนตัดสินใจซื้อ นอกจากการดูที่ส่วนผสมแล้ว คุณควรทดสอบการแพ้เครื่องสำอางด้วยตัวเองด้วยวิธีง่ายๆและเป็นวิธีที่ถูกต้องคือ ให้นำเครื่องสำอางที่ต้องการจะซื้อ มาป้าย ฉีด ยา หรือทา ลงบริเวณผิวเนื้ออ่อนๆ อย่างหลังใบหูหรือท้องแขน อย่างน้อยที่สุดจะต้องใช้เวลา 2030 นาที ถ้าหากเกิดอาการแพ้ ผิวหนังบริเวณนั้นจะมีปฏิกิริยา เช่น เกิดรอยแดง ผื่น หรือรู้สึกระคายเคือง ดังนั้น หากจะเทสต์จริงๆ ไปขอเทสต์ก่อน (เพื่อทิ้งระยะให้สารเคมีทำปฏิกิริยาสักนิด) จากนั้นไปเดินดูของอื่นๆ จนจะกลับ หากผิวไม่แพ้จึงค่อยกลับไปซื้อค่ะ

👄6. ซื้อเครื่องสำอางจากแหล่งขายที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นที่เคาน์เตอร์ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ 
ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ร้านค้าต่างๆ รวมถึงตลาดนัด ในปัจจุบันเรายังพบช่องทางการขายเครื่องสำอางออนไลน์ตามเว็บไซต์ต่างๆ มากมาย อย่างไรก็ตาม ในความหลากหลายของแหล่งซื้อขายนี้ย่อมมีทั้งดีและไม่ดี คุณก็ควรพิจารณาแหล่งซื้อขายที่มีความน่าเชื่อถือ มีสถานที่ตั้งและช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน มีบริการที่ดีทั้งในระหว่างการขายและหลังการขาย และแน่นอนว่าต้องขายผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแท้ และเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์นั้นๆ อย่างถูกต้อง ซึ่งวิธีพิจารณาต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เราห่างไกลจากโอกาสเสี่ยงที่เราจะเจอผลิตภัณฑ์ปลอม ไม่ได้มาตรฐาน เกิดการแพ้ และไม่สามารถเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้ขายได้


👀นอกจากนี้ สาวๆควรรู้จักกับความหมายของเครื่องสำอางตามกฏหมายก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพื่อที่จะได้ไม่หลงเชื่อคำโฆษณาเกินจริง พวกเครื่องสำอางเถื่อนและปลอมทั้งหลาย ดังนี้คือ ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 โดยมีคำจำกัดความ ตามกฎหมายว่า หมายถึง วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใด ต่อส่วนหนึ่ง ส่วนใดของร่างกายมนุษย์ เพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม และรวมตลอดทั้งเครื่องประทิ่นผิวต่างๆ แต่ไม่รวมถึงเครื่องประดับและเครื่องแต่งตัวซึ่งเป็นอุปกรณ์ภายนอกร่างกาย

👉👉👉พอจะสรุปอย่างง่ายๆ ได้ว่า

เครื่องสำอางต้องเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับร่างกายมนุษย์ เพื่อความสะอาด และความสวยงาม เท่านั้น ผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างสรรพคุณเกินกว่านี้ เช่น อ้างว่าสามารถบำบัด บรรเทา รักษาโรค ป้องกันโรค หรือมีผลต่อโครงสร้าง หรือการกระทำหน้าที่ต่างๆของร่างกายอันเป็น สรรพคุณทางยา ผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องจัดเป็นยา ไม่ใช่เครื่องสำอาง

💨💨💨ตัวอย่างเช่น โลชั่นปลูกผม ครีมเสริมสร้างทรวงอก ครีมลดไขมัน สบู่ลดความอ้วน โลชั่นกระชับจุดซ่อนเร้น ครีมฆ่าเชื้อโรค ลดอาการผิวหนังอักเสบ แก้คัน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มีการแสดงสรรพคุณทางยา ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยาและปฎิบัติตามพระราชบัญญัติยาฯที่มีความเข้มงวดกว่าพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง ฯค่ะ

สำหรับวิธีการเลือกซื้อเครื่องสำอางอย่างปลอดภัยที่ได้แนะนำไว้ข้างต้นนี้ ยังไงสาวๆก็อย่าลืม ลองนำไปทำตามนะค่ะ รับรองว่าเพียงเท่านี้สาวๆ ก็สามารถหาซื้อและใช้เครื่องสำอางได้อย่างมั่นใจในความปลอดภัยแล้วล่ะ


วิธีรักษาสิว

👯สิว : 28 วิธีรักษาสิว & 16 สาเหตุของการเกิดสิว !!



👱วิธีรักษาสิวอย่างรวดเร็วในชั่วข้ามคืน ด้วยตนเอง



💁เคล็ดลับ วิธีรักษาสิวอักเสบ แบบเร่งด่วน แบบธรรมชาติ

8 วิธีรักษาสิวให้หาย ของที่ใช้แล้วชอบ อยากแนะนำสำหรับคนเป็นสิว



เมื่อฉัน "สิวเห่อ" วิธีรักษาสิว และลดรอยดำ

แต่งหน้าสำหรับมือใหม่





สวัสดีคะ เห็นชื่อหัวข้อแล้ว สาวๆพึ่งหัดแต่งหน้าต่างกดเข้ามา
ในฮาวทูนี้ก็อย่างที่บอกไปตามชื่อหัวข้อเลย
จะมาทำฮาวทู สอนเพื่อนๆที่พึ่งเริ่มหัดแต่งหน้า
ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้และขั้นตอนจะค่อนข้างน้อย
แต่เทคนิคครบนะคะ ซึ่งฮาวทูนี้ ฟ้าได้นำเครื่องสำอางค์ต่างๆ
ที่หยิบใช้บ่อยในช่วงหัดแต่งหน้าแรกๆมาใช้ให้ได้เห็นกันด้วยคะ
ยังไงลองดูกันเลยนะคะ

All cosmetic i'm using
Facial Sun Protection SPF40 PA+++ Minus-Sun
Foundation Primer - Laura Mercier
Perfect fit concealer - ZA
Mat lumiere extreme - Chanel (เบอร์20 Beige rose)
Drawing eye brow - Etude
Perfect shadow - ARCHITA (สี Blondie)
Powerpoint eye pencil - MAC (สี Engraved)
Long lash mascara - Daiso
Powder brush - MAC (สี Fleur)
Shimmer bronzing powder - Essence
Pancake powder - MTI
Love you cherie lipstick - Bisous (เบอร์04)


ช่องทางในการติดตาม

Instagram: falala_fah




แท็กแต่งหน้า

http://women.sanook.com/54445/